Tag: เครื่องช่วยฟังยี่ห้อไหนดี

การฉีดยาคุมแบบ 3 เดือน: ปล่อยในได้ไหม และต้องรอนานแค่ไหน?

การฉีดยาคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน หรือที่เรียกว่า Depo-Provera (ดีโป-โพรเวรา) เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการความสะดวกสบาย โดยมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์ หากใช้อย่างถูกต้อง ยานี้ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่ทำหน้าที่ป้องกันการตกไข่ (Ovulation) รวมถึงเปลี่ยนแปลงลักษณะของมูกปากมดลูกให้เหนียวขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าถึงไข่ได้ และเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกให้อยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของไข่ สามารถปล่อยในได้ไหมหลังฉีดยาคุมกำเนิด? คำตอบคือ สามารถปล่อยในได้ หากฉีดยาคุมกำเนิดอย่างถูกต้องและตรงตามเวลา ยาคุมแบบ 3 เดือนมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงถึง 99% เมื่อฉีดในช่วง 5 วันแรกของรอบเดือน หรือหลังคลอดบุตรทันทีในกรณีที่ไม่ได้ให้นมบุตร ยาจะเริ่มออกฤทธิ์ทันที ทำให้สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ต้องใช้วิธีป้องกันอื่นได้   หากเริ่มฉีดในช่วงเวลาอื่น ควรใช้วิธีป้องกันอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย เป็นเวลา 7 วัน หลังจากนั้นจึงสามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งครรภ์   ต้องรอนานแค่ไหนหลังหยุดฉีดยาเพื่อให้ตั้งครรภ์? หลังจากหยุดฉีดยาคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน ฮอร์โมนในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งอาจใช้เวลา 6-12 เดือน กว่าที่รอบเดือนและการตกไข่จะกลับมาเป็นปกติ ทั้งนี้ ระยะเวลาที่ต้องรอขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น   ระยะเวลาที่ฉีดยาคุมกำเนิด: …


ทำอย่างไร เมื่อลูกตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์

ในปัจจุบัน การใช้โซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ตกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเด็กและเยาวชน อย่างไรก็ตาม โลกออนไลน์ก็เต็มไปด้วยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นโดยที่เด็กไม่ทันระวังตัว เช่น การถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการหลอกให้โอนเงิน หลอกให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว หรือแม้แต่การถูกคุกคามทางออนไลน์ (Cyberbullying) หากลูกของคุณตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ ควรรีบดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องลูกจากความเสียหายที่อาจร้ายแรงขึ้น   ตั้งสติ และพูดคุยกับลูกอย่างเปิดใจ   เมื่อทราบว่าลูกถูกหลอกลวง สิ่งแรกที่พ่อแม่ต้องทำคือ ตั้งสติ อย่าโทษหรือตำหนิลูก เพราะเด็กอาจรู้สึกกลัวและไม่กล้าบอกความจริง การสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างให้ลูกกล้าพูดคุยเป็นสิ่งสำคัญ พยายามถามลูกด้วยน้ำเสียงที่สงบ และให้ลูกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด     รวบรวมหลักฐานของการหลอกลวง  เมื่อได้ข้อมูลจากลูกแล้ว ควรรีบ รวบรวมหลักฐานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น   – ข้อความแชท   – ลิงก์เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง   – บัญชีธนาคารหรือข้อมูลของมิจฉาชีพ   – หมายเลขโทรศัพท์ หรือบัญชีโซเชียลมีเดียที่ใช้ในการหลอกลวง   การเก็บหลักฐานเป็นสิ่งสำคัญเพราะสามารถนำไปใช้แจ้งความหรือรายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้     แจ้งความและติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากลูกถูกหลอกลวงทางออนไลน์ ควรรีบแจ้งความกับตำรวจ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น   – กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.)   – ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนอาชญากรรมออนไลน์   – ธนาคาร (หากมีการโอนเงิน) เพื่อขออายัดบัญชีของมิจฉาชีพ   หากเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิเด็ก หรือการถูกคุกคาม …